fbpx

วิธีดูแลข้อเข่าเสื่อมด้วยตัวเอง ระยะ 1-4

ข้อเข่าเสื่อม คืออะไร ?

ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis of the Knee)

     เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อกระดูกอ่อนที่อยู่ระหว่างข้อเข่าถูกทำลายหรือสึกหรอ ซึ่งกระดูกอ่อนเหล่านี้มีหน้าที่ลดแรงเสียดทานและกระแทกระหว่างกระดูกข้อต่อ เมื่อกระดูกอ่อนเหล่านี้เสื่อมสภาพหรือถูกทำลาย กระดูกข้อต่อจะเสียดสีกันโดยตรง ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดและการเคลื่อนไหวของข้อเข่าลดลง

สาเหตุของข้อเข่าเสื่อม

  1. อายุ : ข้อเข่าเสื่อมมักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ เนื่องจากการใช้งานข้อเข่ามาเป็นเวลานาน
  2. เพศ : ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะหลังวัยหมดประจำเดือน
  3. น้ำหนักตัว : น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงกดที่ข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
  4. การบาดเจ็บ : การบาดเจ็บที่ข้อเข่า เช่น การหกล้ม การเล่นกีฬา หรืออุบัติเหตุ สามารถทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อมได้
  5. พันธุกรรม : หากครอบครัวมีประวัติของข้อเข่าเสื่อม ก็มีโอกาสที่จะเกิดข้อเข่าเสื่อมมากขึ้น
  6. การใช้งานข้อเข่า : การใช้ข้อเข่าในลักษณะที่หนัก เช่น การยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน การยกของหนัก หรือการทำงานที่ต้องใช้ข้อเข่ามาก

ข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 1

อาการของโรค

  • มีอาการปวดเล็กน้อยบริเวณเข่าเมื่อทำกิจกรรมหนัก
  • มีเสียง “กรอบแกรบ” หรือ “กรุบกรับ” ในข้อเข่าเมื่อเคลื่อนไหว
  • อาการปวดมักจะหายไปเมื่อพักผ่อน

การรักษาทั่วไป

  • ใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อลดการอักเสบและปวด
  • ใช้ยาแก้ปวดเฉพาะที่ เช่น ครีม หรือเจล

การรักษาที่เฮลท์ลิ้งก์คลินิก

  • รักษาด้วยโปรแกรม Premium PRP 1 ครั้ง ทุก 1-2 เดือน
  • รักษาด้วยโปรแกรมการฉีดแบบอื่นๆ ตามที่แพทย์แนะนำ
  • โปรแกรมการกายภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล
  •  

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่ามากเกินไป
  • สวมใส่รองเท้าที่รองรับข้อเท้าและเข่าได้ดี
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลตัวเอง

  • การใช้น้ำอุ่นหรือน้ำแข็งประคบบริเวณข้อเข่า
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานเกินไป

การออกกำลังกาย

  • ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินหรือปั่นจักรยานเบาๆ
  • การทำโยคะเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อเข่า

เมนูอาหารที่เหมาะสม

  • บริโภคอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม โยเกิร์ต ปลาแซลมอน
  • บริโภคผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่

สิ่งที่ไม่ควรทำ

  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ใช้แรงกระแทกมาก เช่น การวิ่งหรือกระโดด

ข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 2

อาการของโรค

  • มีอาการปวดมากขึ้นและมีอาการบวมเล็กน้อยบริเวณข้อเข่า
  • รู้สึกไม่สบายเมื่อทำกิจกรรมประจำวัน
  • อาการปวดมักเกิดขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน

การรักษาทั่วไป

  • การทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า
  • การใช้ยาต้านอักเสบที่แรงขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์


การรักษาที่เฮลท์ลิ้งก์คลินิก

  • รักษาด้วยโปรแกรม Premium PRP 1 ครั้ง ทุก 1-2 เดือน
  • โปรแกรมการฉีดอื่นๆ ตามที่แพทย์แนะนำ
  • โปรแกรมการกายภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล


การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่ามากเกินไป
  • สวมใส่รองเท้าที่รองรับข้อเท้าและเข่าได้ดี
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

การดูแลตัวเอง

  • การใช้น้ำอุ่นหรือน้ำแข็งประคบบริเวณข้อเข่า
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานเกินไป

การออกกำลังกาย

  • ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินหรือปั่นจักรยานเบาๆ
  • การทำโยคะเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อเข่า


เมนูอาหารที่เหมาะสม

  • บริโภคอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม โยเกิร์ต ปลาแซลมอน
  • บริโภคผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่

สิ่งที่ไม่ควรทำ

  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ใช้แรงกระแทกมาก เช่น การวิ่งหรือกระโดด

ข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 3

อาการของโรค

  • อาการปวดมีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยขึ้น
  • รู้สึกถึงการตึงและขัดของข้อเข่า
  • อาจมีการอักเสบและบวมมากขึ้น

การรักษาทั่วไป

  • การฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบและปวด
  • การใช้ยาลดปวดที่แรงขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์

การรักษาที่เฮลท์ลิ้งก์คลินิก

  • รักษาด้วยโปรแกรม Premium PRP 1 ครั้ง ทุก 1-2 เดือน
  • รักษาด้วยโปรแกรมการฉีดอื่นๆ ตามที่แพทย์แนะนำ
  • โปรแกรมการกายภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่ามากเกินไป
  • สวมใส่รองเท้าที่รองรับข้อเท้าและเข่าได้ดี
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนในท่าที่ทำให้เข่าตึงเป็นเวลานาน
  • ใส่สนับเข่าเพื่อเพิ่มการรองรับและลดแรงกระแทก
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้เท้าหรือเครื่องพยุง

การดูแลตัวเอง

  • การใช้น้ำอุ่นหรือน้ำแข็งประคบบริเวณข้อเข่า
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนานเกินไป
  • การทำกายภาพบำบัดที่บ้าน เช่น การยืดเหยียดเบาๆ
  • การนวดเบาๆ บริเวณรอบข้อเข่า

การออกกำลังกาย

  • ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินหรือปั่นจักรยานเบาๆ
  • การทำโยคะเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อเข่า
  • ออกกำลังกายที่ไม่ใช้แรงกระแทก เช่น ว่ายน้ำ
  • การยืดกล้ามเนื้อและการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า


เมนูอาหารที่เหมาะสม

  • บริโภคอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม โยเกิร์ต ปลาแซลมอน ส้ม กีวี
  • บริโภคผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่
  • อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง เช่น ปลาทูน่า ถั่วและเมล็ดพืช
  • อาหารที่มีสารต้านการอักเสบ เช่น ขมิ้น ขิง

สิ่งที่ไม่ควรทำ

  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ใช้แรงกระแทกมาก เช่น การวิ่งหรือกระโดด
  • หลีกเลี่ยงการหมุนตัวอย่างรวดเร็ว
  • หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันไดบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการยืนนานๆ โดยไม่เคลื่อนไหว
  • หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่ทำให้ข้อเข่าตึงเกินไป

ข้อเข่าเสื่อมระยะที่ 4

อาการของโรค

  • อาการปวดรุนแรงและต่อเนื่องแม้ในขณะพัก
  • การเคลื่อนไหวของข้อเข่าลดลงอย่างมาก
  • ข้อเข่าอาจมีการผิดรูปหรือบิดเบี้ยว


การรักษาทั่วไป

  • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเป็นทางเลือกสุดท้าย
  • การใช้ยาลดปวดที่มีประสิทธิภาพสูงตามคำแนะนำของแพทย์


การรักษาที่เฮลท์ลิ้งก์คลินิก

  • รักษาด้วย Premium PRP 1 ครั้ง ทุก 1-2 เดือน
  • รักษาด้วย โปรแกรมการฉีดอื่นๆ ตามที่แพทย์แนะนำ
  • โปรแกรมการกายภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล

การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเข่ามากเกินไป
  • สวมใส่รองเท้าที่รองรับข้อเท้าและเข่าได้ดี
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนในท่าที่ทำให้เข่าตึงเป็นเวลานาน
  • ใส่สนับเข่าเพื่อเพิ่มการรองรับและลดแรงกระแทก
  • ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้เท้า หรือเครื่องพยุง
  • ใช้อุปกรณ์อื่นๆ ช่วย เช่น รถเข็น


การดูแลตัวเอง

  • การใช้เครื่องช่วยพยุงตัว เช่น วอล์คเกอร์ หรือเก้าอี้รถเข็น
  • การทำกายภาพบำบัดภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ


การออกกำลังกาย

  • การทำกายภาพบำบัดเพื่อรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่น
  • การออกกำลังกายในน้ำเพื่อช่วยลดแรงกระแทกและเพิ่มความเคลื่อนไหว


เมนูอาหารที่เหมาะสม

  • บริโภคอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม โยเกิร์ต ปลาแซลมอน
  • บริโภคผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่
  • อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 และสารต้านการอักเสบ


สิ่งที่ไม่ควรทำ

  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
  • หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดแรงกระแทกหรือการบิดเบี้ยวของข้อเข่า
Facebook
Twitter